วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ภูเขาไฟฟูจิยามา



ภูเขาไฟฟูจิยามา
เป็นภูเขาไฟที่ดับลงแล้วและสวยงามใที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเมืองชิซูโอกะ เป็นรูปฝาชีครอบที่ฐานวัดโดยรอบได้ประมาณ 100 กิโลเมตร ยอดสูง 12,385 ฟุต มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี และบริเวณภูเขาไฟมีสวนสาธารณะ ทะเลสาบ ต้นซากุระที่สวยงามตอนออกดอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ และก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น

พีระมิดอียิปต์



พีระมิดอียิปต์ (The Pyramids of Egypt)

พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนในอดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ประกอบไปด้วยพีระมิดใหญ่ 3 องค์ คือ พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และไมเซอริมุส (Mycerimus) พีระมิดคีออปส์ เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมสูงถึง 481 ฟุต แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 450 ฟุต ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 32.5 ไร่ ( 13 เอเคอร์ ) สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ 2.5 ตัน ถึง 30 ตัน โดยใช้หินทั้งหมดกว่า 2.3 ล้านก้อน ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 20 ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์ โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66 ฟุต

ดวงจันทร์



ดวงจันทร์ ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร มวล 0.012 เท่าของโลก ความหนาแน่น 3.3 เท่าของน้ำ ระยะห่างจากโลกโดยเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร ระยะที่อยู่ใกล้ที่สุด 365,400 กิโลเมตร ระยะห่างมากที่สุด 406,700 กิโลเมตร เวลาหมุนรอบตัวเอง 27.32 วัน (นับแบบดาราคติ) เวลาหมุนรอบโลก 29.53 วัน (นับแบบจันทรคติ) เอียงทำมุมกับเส้นอีคลิปติค 5 องศา เอียงทำมุมกับแกนตัวเอง 6 1/2 องศา
วัฏจักรของดวงจันทร์ เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter) วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon) หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา

รวงผึ้งเป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงประมาณ ๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มใบเป็นประเภทใบเดี่ยวยาวประมาณ ๗ เซนติเมตร ใบสีเขียวใต้ใบเป็นสีอ่อน และเป็นเกล็ดเล็ก ๆ ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม ออกเป็นกระจุกตามกิ่งข้าง และมักจะบานพร้อมกันกลีบรองดอกมี ๕ กลีบ เหมือนรูปดาว ไม่มีกลีบดอก มีเกสรตัวผู้เป็นจำนวนมาก ดอกบานในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เป็นไม้พื้นเมืองของไทยทางภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขยายพันธุ์ด้วยการตอน

กวางผา


ชื่อสามัญ : Goralชื่อวิทยาศาสตร์ : Naemorhedus griseusชื่ออื่น : ม้าเทวดา กวางผาเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแพะในวงศ์ย่อย Caprinae เช่นเดียวกับเลียงผา คือ ไม่มีหนวดเครายาวที่คางอย่างแพะ ลำเขาสั้น ปลายเขาโค้งไปข้างหลัง และมีต่อมเปิดที่กีบนิ้วเท้า รูปร่างคล้ายเลียงผาแต่ขนาดเล็กกว่ามาก ลำคอเรียวเล็ก หางยาวและเขาสั้นกว่า ใบหน้าเว้าเป็น แอ่งไม่แบนราบอย่างหน้าเลียงผา ต่อมเปิดระหว่างตากับจมูกเป็นรูเล็กมาก กระดูกดั้งจมูก ของเลียงผาจะยื่นออกเฉพาะส่วนปลาย ท่อนโคนจมูกเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกับกระดูก กระโหลก ศรีษะ ลักษณะรูปร่างของกวางผา ดูคล้ายคลึงกับเลียงผา ย่อขนาดเล็กลงเกือบเท่าตัว สีขนตามตัวเป็นสีน้ำตาลแกมเท่าไม่ดำอย่างเลียงผา ขนตามตัวชั้นนอกเป็นเส้นยาวหยาบ มีขนชั้นในเป็นเส้นละเอียดนุ่ม ซึ่งจะไม่มีพบในเลียงผา ระหว่างโคนเขาทั้ง 2 ข้าง ไปถึงหลัง ใบหู มีกระจุกขนเป็นยอดแหลมสีน้ำตาลเข้มชัดเจนถัดต่อมาบริเวณหลัง และสะโพกมีแผงขน ยาว คล้ายอานม้าบาง ๆ สีเทา กลางหลังมีแถบขนสีดำพาดยาวตามแนวสันหลังไปจรดโคนหาง หางสั้นเป็นพวงสีเข้มดำ ขนใต้คางและแผ่นอกสีน้ำตาลอ่อน เห็นเป็นแถบลายจาง ๆ บริเวณ แผ่นอก สีขนช่วงโคนขาเข้มกว่าช่วงปลายขาลงไปถึงกีบเท้า เขาสั้นสีดำเป็นรูปกรวยแหลม ปลายเขาเรียวแหลมโค้งไปข้างหลังเล็กน้อย โคนเขารใหญ๋มีรอยหยักเป็นวง ๆ รอบเขาชัดเจน โดยทั่วไปแล้วสีขนของกวางผาตัวเมียจะอ่อนกว่าตัวผู้ เขาสั้นเล็กและมีรอยหยัก รอบโคนเขา ไม่ลึกชัดเจนอย่างเขาของตัวผู้ ขนาดของกวางผาไทย ขนาดตัวประมาณ 80-120 เซนติเมตร หางยาว 7-20 เซนติเมตร ใบหูยาว 10-14 เซนติเมตร ความสูงที่ไหล่ 50-70 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 22-32 กิโลกรัม ขนาดของเขาแต่ละข้างมักยาวไม่เท่าก้น แต่โดยเฉลี่ยความยาวของเขา แต่ละข้างประมาณ 13 เซนติเมตร ขนาด วัดรอบโคนเขาประมาณ 7 เซนติเมตร ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็นและตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้และชะง่อนหินในเวลากลางคืน อาหารได้แก่พืชที่ขึ้นตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ และลูกไม้เปลือกแข็งจำพวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ 4-12 ตัว ผสมพันธุ์ในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ 1-2 ตัว ตั้งท้องนาน 6 เดือน กวางผาจะอยู่บนยอดเขาสูงชันในที่ระดับน้ำสูงชันมากกว่า 1,000 เมตร กวางผามีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึงแคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่าและตอนเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมีรายงานพบกวางผาตามภูเขาที่สูงชันในหลายบริเวณ เช่น ดอยม่อนจอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ดอยเลี่ยม ดอยมือกาโด จังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณสองฝั่งลำน้ำปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดตาก กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญา CITES จัดไว้ใน Appendix I ถึงแม้กวางผาจะมีศัตรูในธรรมชาติน้อยมาก เนื่องจากสภาพถิ่นที่อาศัยของ กวางผา เป็นหน้าผาสูงชันที่สัตว์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ แต่แหล่งที่อยู่มีจำกัด อยู่ตาม เขาสูงเป็นบางแห่งของจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ประกอบกับมีนิสัยอยู่รวม เป็นฝูงและมีอาณาเขตครอบครองแน่นอน ทำให้ถูกพรานชาวเขาตามล่าได้ง่าย โดยดูจาก ร่องรอยการกินอาหารและกองมูลที่ถ่ายทิ้งไว้ อีกทั้งบริเวณที่เป็นแหล่ง ที่กวางผาไม่มีที่อยู่ อาศัยต้องหลบหนีไป อยู่แหล่งอื่นและถูกฆ่าตายไปในที่สุด นอกจากนี้ความเชื่อว่าที่ว่า น้ำมันกวางผามีสรรพคุณใช้เป็นยาสมานกระดูกที่หักได้เช่นเดียวกับน้ำมันเลียงผา ทำให้กวางผาถูกฆ่าตายเพื่อเอาน้ำมันอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ปัจจุบันกรมป่าไม้สามารถเพาะขยายพันธุ์กวางผาพันธุ์ไทยได้สำเร็จ แต่เนื่องจาก มีพ่อ-แม่พันธุ์เพียงคู่เดียว สถานการณ์ความอยู่รอดของกวางผาไทย จึงยังอยู่ในขั้น น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง

ถ้ำมรกต


ถ้ำมรกตถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล Unseen in Thailand นายหมูหินพาเที่ยวดูความสวย สีเขียวมรกตของถ้ำมรกต จังหวัดตรังกันครับกระโดดลงน้ำ ลอยตัวตามเชือก เกาะไหล่กันไปเป็นแถวๆ ส่งเสียงร้องเป็นเพลงบ้าง โห่ร้องเป็นจังหวะๆบ้าง อีกแถวเข้าถ้ำ อีกแถวออกจากถ้ำ ความสนุกสนาน ความอัศจรรย์ ความตื่นเต้นของถ้ำมรกตที่ใครยังไม่ได้ไปสัมผัสนั้นคงยากที่จะเห็นภาพ วันนี้ หมูหิน.คอม อาสาพาท่านๆเที่ยวแล้วครับ มามุดถ้ำลอยคอกลางทะเลดูความสวยงามกับ หมูหิน.คอม กัน

" ถ้ำมรกต" เป็นถ้ำที่อยู่บนเกาะมุกต์ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล จะเข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น ปากถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำอันมืดมิด ผ่านเส้นทางคดโค้ง น่าตื่นเต้น ระยะทางความยาวก็อยู่ที่ประมาณ 80 เมตร เข้าแถวเรียง 1 ตามคนนำทางที่ช่ำชอง เมื่อพ้นปากถ้ำจะเจอหาดทรายเล็กๆ สีขาว เม็ดทรายละเอียดยิบ เงยหน้ามองดูด้านบนของถ้ำ จะเห็นท้องฟ้าสีครามเป็นหลังคา รู้สึกคล้ายว่าเราได้ยืนอยู่ในบ้าน เพราะเราจะเห็นภูผาสูงลับฟ้าล้อมรอบทิศทาง คล้ายกับฟ้าเป็นเสมือนหลังคาบ้าน ต้นไม้ที่เกาะอยู่ตามหน้าผาสูงชัน บางต้นมีขนาดใหญ่มาก เกาะตามหน้าผาชัน ดอกไม้ป่าก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ โพรงที่ลอดเข้าถ้ำมรกตจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเกาะ เมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะทั้งเกาะ เวิ้งของถ้ำก็จกลายเป็นสีเขียวมรกตงดงามมาก
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกตคือช่วงที่น้ำขึ้นเต็มที่ในแต่ละวัน เนื่องจากจะเห็นทะเลสาบสีมรกตงดงามและเวลาที่แสงจะลอดปากถ้ำมรกตลงมา คือระหว่าง 10.00-14.00 น. การลอดถ้ำสามารถทำได้ตลอดเวลา เดือนที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวคือระหว่างเดือนธันวาคม


ถึงต้นเดือนพฤษภาคม เวลาน้ำลงเพื่อมุดเข้าถ้ำมรกตได้ หากใครที่ต้องการที่จะเข้าไปจะต้องทำเวลานิดครับ เพราะเราต้องดูน้ำขึ้นน้ำลงด้วย เอาเป็นว่าเชื่อคนเลไว้เป็นดีครับ เพราะเค้าเป็นคนพื้นที่ที่สัมผัสมาตลอด เพื่อความปลอดภัยของเราก็ทำตามที่เค้าบอกก็เป็นดีครับ
จากเหตุการณ์ “สึนามิ” ที่เกิดขึ้นในท้องทะเลอันดามันเมื่อไม่นานมานี้ เกิดความเสียหายมากมายที่เกิดขึ้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวของไทยซบเซาลงไปพอสมควร ในตอนนั้นผม…นายหมูหินยังเป็นนายสบายอยู่เลยครับ แต่ตอนนั้นนายสบายไม่ได้ไปไหนอยู่ในที่ที่น่าเบื่อมาตลอด ตอนนี้ผมมาเป็นนายหมูหินที่อิสระ มีความสุขกับการท่องเที่ยวโบกโบยบินได้ตามใจต้องการ วันนี้เอง…นายหมูหินพาเที่ยวย้อนรอยถ้ำมรกตที่เคยผ่านมรสุมของสึนามิมาแล้ว ใช่ว่าจะน่ากลัว เพราะเมืองไทยก็คือบ้านของเรา หากเราไม่เที่ยวไม่ช่วยกันรักษา ก็คงยากที่จะเป็น Unseen in Thailand แน่นอน นายหมูหินรับประกันครับไม่แปลกใจที่ทำไมถ้ำมรกตจึงมีผู้คนไปเยี่ยมชมไม่ขาดสายเลย ใช่ว่าถ้ำจะมีอะไรที่แปลกไปมากกว่าที่อืนนัก แต่ความตื่นตาตื่นใจ อยู่ที่การว่ายน้ำลอดถ้ำเข้าไป เพราะการที่เราจะเข้าถึงตัวถ้ำได้ต้องใช้ความสามัคคีกันมาก เพราะถ้าหากมือไม่พายเอาเท้าลาน้ำแล้ว ยังเป็นภาระให้เพื่อนๆร่วมทีมอีกด้วย
ชื่อของ “ถ้ำมรกต” ที่เรารู้จักกันดีก็คือการได้เห็นความเขียวของน้ำที่สะท้อนออกมาจากแสงที่ส่องผ่านปากถ้ำ เห็นเป็นสีเขียวมรกตสวยงดงาม ตื่นตาตื่นใจกับการที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ
การเข้าไปดูความสวยงามนั้นเราต้องกระโดดลงน้ำก่อน แล้วทางเรือจะให้เราว่ายน้ำเข้าคิวต่อแถวตามเชือก เพราะว่าคลื่นจะแรงกว่าที่อื่น เนื่องจากว่าเป็นโขดหิน และคลื่นที่ซัดเข้ามาก็จะกระทบและทำให้คลื่นกระแทกกลับมาอีก ทำให้กระแสน้ำแรกพอควร แต่สถานที่ท่องเที่ยวก็ได้ผูกเชือกให้ความสะดวกไว้ เพื่อที่จะได้ไต่เชือกเข้าไป ความสามัคคีนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ คำโบราณที่ว่า “มือไม่พายเอาเท้าลาน้ำ” ก็คงยังใช้ได้ดี เพราะเราจะต้องเอามือไปเกาะไหล่คนข้างหน้าเอาไว้ ตอนที่เราลอดถ้ำเข้าไปชมความงาม มือเกาะบ่า เท้าก็ต้องทำงานไปด้วย เพื่อที่จะพยุงและช่วยให้ทีมของเราฝ่าคลื่นเข้าไปให้ได้

ทีมไหนมีคนกินแรกเยอะก็จะไปได้ช้าหน่อย ทีมไหนสามัคคีกันก็จะไปได้เร็วมากไม่เสียแรงเยอะ และที่เราต้องสังเกตุให้ดีคือ “เพื่อนร่วมทีม” ที่อยู่ทั้งข้างหน้าข้างหลัง เพราะลูกเรือที่คุมทีมเค้าจะให้เราออกเสียงเป็นจังหวะ เพื่อที่จะได้สังเกตุว่าเพื่อนๆที่อยู่หน้าและหลังเรานั้น อยู่ครบดีหรือปล่าว เพราะการลอดถ้ำมรกตนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงใดๆทั้งสิ้น การที่เราส่งเสียงนั้น ทำให้เราสามารถสังเกตุเหตุการรอบข้าวเราได้ว่าเหตุการปกติดี เพื่อนอยู่ครบ และนั่นก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่น่าสัมผัส ความอัศจรรย์ของถ้ำมรกตเหมะสมแล้วที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยกให้ “ถ้ำมรกต” เป็น Unseen Thailand

เกาะ


เกาะกระดาน
เป็นเกาะที่สวยเกาะหนึ่งของจังหวัดตรัง มีเนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ ซึ่ง 5 ใน 6 ส่วนของเกาะนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของ
อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ที่เหลือเป็นสวนยางและสวนมะพร้าวของเอกชน รวมทั้งร้านอาหารและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว จุดเด่นของเกาะกระดานคือ ชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดเหมือนแป้ง และน้ำใสจนมองเห็นแนวปะการังซึ่งทอดยาวจากชายหาดด้านเหนือถึงชายฝั่ง และมีฝูงปลาหลากสีแหวกว่ายอย่างสวยงาม สำหรับผู้นิยมการโต้คลื่นด้านหลังเกาะมีอ่างเล็กๆ มีคลื่นลูกโตๆ สาดม้วนเข้าหาหาดเป็นระลอกๆ เหมาะสำหรับเล่นกระดานโต้คลื่น เกาะกระดานอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมุก และเกาะลิบง โดยใช้เวลาเดินทางจากปากเมง ประมาณ 1 ชั่งโมง 40 นาที
รอบเกาะมีชายหาดอยู่ 4 แห่ง เกาะกระดานจึงเป็นเกาะที่สวยที่สุดของทะเลตรัง ที่มีเกาะอื่นรายรอบเป็นบริวาร ชายหาดเป็นทรายขาวละเอียด น้ำใส จนมองเห็นริ้วทรายใต้พื้นน้ำ สุดชายหาดด้านเหนือ มีแนวปะการังทอดยาวออกไปในทะเล บริเวณชายฝั่งเป็นปะการังน้ำตื้น
ชายหาดบนเกาะได้แก่
ชายหาดเกาะกระดาน เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ มีชายหาดขาวยาวประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณด้านหน้าของชายหาด นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำดูปะการัง ซึ่งยาวตลอดแนวชายหาด จากชายหาดสามารถมองเห็นเกาะลิบง เกาะแหวน เกาะมุก และเกาะเชือก และยังสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้อีกด้วย
ชายหาดอ่าวเนียง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เป็นหาดทรายขาวยาวประมาณ 800 เมตร ด้านหน้าชายหาดนักท่องเที่ยวนิยมดำน้ำดูปะการัง ซึ่งมีตลอดแนวชายหาด จากชายหาดนี้สามารถมองเห็นเกาะลิบงได้
ชายหาดอ่าวไผ่ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เป็นหาดทรายขาวยาวประมาณ 200 เมตร ด้านหน้าของชายหาดไม่มีแนวปะการัง สามารถมองเห็นเกาะเชือก เกาะแหวน เกาะมุก สามารถชื่นชมกับดวงอาทิตย์ตกได้สวยงาม
ชายหาดอ่าวช่องลม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ อยู่เหนือที่ทำการพิทักษ์อุทยานฯ ห่างไปประมาณ 800 เมตร สามารถเดินเท้าขึ้นเนินไปชมดวงอาทิตย์ตก มองเห็นเกาะรอกได้อย่างชัดเจน

ดอยอ่างขาง




ดอยอ่างขาง (เชียงใหม่)
เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ประมาณกิโลเมตรที่ 137 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านยางที่ตลาดแม่ข่า เข้าไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง สูงและคดเคี้ยว ต้องใช้รถสภาพดีและมีกำลังสูง คนขับชำนาญ หรือจะหาเช่ารถสองแถวได้ที่ตลาดแม่ข่า ลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะทำให้อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อากาศเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อม เช่น หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว สถานที่น่าสนใจบนดอยมีหลายแห่ง ได้แก่
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง เรื่องกำเนิดของสถานีฯ แห่งนี้เป็นเกร็ดประวัติเล่ากันต่อมาว่าครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดดอยแห่งนี้และทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้านคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระดำรัสสั่งให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรเห็นทุ่งดอกฝิ่น และหมู่บ้านตรงนั้นก็คือหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ พระองค์มีพระราชดำรัสที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร สถานีฯ จึงเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2512มีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน โดยมุ่งที่จะหาผลิตผลที่มีคุณค่าพอที่จะทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา และทำการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมแก่ชาวเขาในบริเวณใกล้เคียง

พรรณไม้ที่ปลูก- ไม้ผล เช่น บ๊วย ท้อ พลัม แอปเปิล สาลี่ พลับ กีวี องุ่น ราสป์เบอร์รี กาแฟพันธุ์อาราบิกา นัตพันธุ์ต่างๆ
- ไม้ดอก เช่น แกลดิโอลัส เยอบีราพันธุ์ยุโรป สแตติส ยิบโซฟิลลา คาร์เนชั่น อัลสโตรมีเรีย ลิลี ไอริส แดฟโฟดิล
- ผัก เช่น ซูกินี เบบีแครอต กระเทียมต้น หอมญี่ปุ่น ผักกาดฝรั่ง แรดิช เฟนเนล มันฝรั่ง ถั่วแดงหลวง และถั่วพันธุ์อื่นๆ
ในพื้นที่ดอยอ่างขางยังมีการฟื้นฟูสภาพป่าโดยตรง ด้วยการปลูกป่าด้วยพรรณไม้หลายชนิด ละการทิ้งพื้นที่แนวป่าให้พรณไม้เกิดและเติบโตเองโดยธรรมชาติ มีทั้งพรรณไม้ท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้ก่อ แอปเปิลป่า นางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระ และพรรณไม้โตเร็วจากไต้หวัน 5 ชนิด คือ กระถินดอย เมเปิลหอม การบูร จันทน์ทอง และเพาโลเนีย
ที่สถานีฯยังเป็นแหล่งเที่ยวชมวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านชาวไทยภูเขาต่างๆ ได้แก่ เผ่ามูเซอดำ ปะหล่อง และจีนฮ่อ รวมทั้งชมความงามตามธรรมชาติของผืนป่า กิจกรรมดูนกซึ่งมีนกทังนกประจำถิ่นและนกหายากต่างถิ่น พร้อมผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย งานส่งเสริมเกษตรกรจำหน่ายใต้ตราสินค้า "ดอยคำ" และที่พักทั้งในรูปแบบรีสอร์ท บ้านพักแบบกระท่อมและลานกางเต็นท์พร้อมอาหารและเครื่องดื่มบริการ

อาหารเพื่อสุขภาพ



ถ้าต้องนำอาหารแต่ละชนิดมาวิเคราะห์ทางเคมี เราพบว่ามีสารอาหารที่ แบ่งตามหลักโภชนาการ ออกเป็น 6 ประเภทดังนี้

1.คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญโดยให้พลังงานแก่เราและพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตนี้จะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าโปรตีนหรือไขมัน
2.ไขมัน เป็นสารอาหารที่ถือว่าเป็น จอมพลังงาน เพราะให้แคลลอลี่มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งไขมันบางชนิดจะเป็นชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้เรียกว่าไขมันจำเป็นเพราะช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี และเค ที่ละลายในไขมัน
3.วิตามิน เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนไม่มากนัก แต่จำเป็นเพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆของการเผาผลาญพลังงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ร่างกายสามารถสร้างวิตามินได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
4.เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะเกลือแร่แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง สามารถแบ่งเกลือแร่ออกเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการในขนาดมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมเป็นต้น และชนิดที่ร่างกายต้องการขนาดน้อย เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ไอโอดีน เป็นต้น
5.น้ำ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ มนุษย์อาจอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำ 2-3 วัน ก็อาจเสียชีวิตได้ น้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับสองรองจากออกซิเจน

ดอกกุหลาบ



ดอกกุหลาบขาว
นานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่งนามว่า “ เจ้าหญิงกุหลาบขาว ” พระองค์ทรงศิริโฉมงดงามมาก เจ้าชายหลายองค์อยากจะพิชิตใจเจ้าหญิงองค์นี้ แต่เจ้าหญิงก็ทรงไม่เลือกใครเลย นอกจาก “ เจ้าชายแดง ” ซึ่งมีรูปงามและเป็นที่ใฝ่ฝันของหญิงสาวทั่วทั้งประเทศ เจ้าชายแดงมีน้องชายฝาแฝดชื่อ ” เจ้าชายดำ ” ทั้งสองเป็นคู่อริกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่มาวันหนึ่งเจ้าชายแดงต้องนำทัพไปทำสงครามกับพวกอริราชศัตรู เจ้าชายดำจึงบังคับขืนใจเจ้าหญิงกุหลาบขาวให้ตกเป็นของตนให้จงได้โดยออกอุบายว่า เจ้าชายแดงเสียชีวิตในสนามรบแล้ว เจ้าหญิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจและไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
เสด็จแม่ของเจ้าหญิงกุหลาบขาวบังคับให้เจ้าหญิงกุหลาบขาวอภิเษกสมรสกับเจ้าชายดำแทน เจ้าหญิงก็ไม่ยอม หมายจะฆ่าตัวตายตามคนรักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าพระราชวัง และในขณะนั้นเจ้าชายแดงก็กลับมาจากสงครามและเห็นเจ้าหญิงกำลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ จึงได้ร้องห้ามเอาไว้
เจ้าหญิงกุหลาบขาวดีใจมากที่คนรักของตนยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเจ้าชายดำก็ตามมาเห็นเสียก่อนจึงโมโหและเกิดความคลุ้มคลั่ง ชักดาบขึ้นมาและดวลฝีดาบกับพี่ชาย หมายว่าจะฆ่าพี่ชายและช่วงชิงเจ้าหญิงให้จงได้ เจ้าชายแดงพลาดท่าถูกปลายดาบของเจ้าชายดำเข้าจึงเสียชีวิต เจ้าหญิงขาวเห็นเช่นนั้นก็โทมนัสเสียใจเป็นยิ่งนัก จึงฆ่าตัวตายตามเพราะเธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยปราศจากคนที่เธอรัก

กุหลาบแดง
เมื่อสมัยที่โลกนี้ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามกุหลาบขาวได้ถือกำเนิดขึ้นก่อนดอกไม้ใดๆ กุหลาบขาวจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธ์ผุดผ่อง จนกระทั่งวันหนึ่ง มีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาตกหลุมรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย มันก็พยายามตามจีบตามประจบและพยายามจะโอบกอดกุหลาบขาวเสียให้ได้ตามประสาชายหนุ่มที่หลงรักหญิงสาวก็อยากจะใกล้ชิดเอาไปพันผูก
และด้วยความรักอันร้อนแรงนั่นเอง เจ้านกไนติงเกลก็ลืมไปว่า เจ้ากุหลาบขาวนั้นไม่ได้เหลียวมามองมันเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดหนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน ทำให้หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลหยดใส่
กลีบกุหลาบขาวจนเป็นสีแดง แล้วเจ้านกไนติงเกลก็ได้เสียชีวิตเพื่อสังเวยความรักครั้งนี้



Forget me not
เหตุเกิดที่ฝรั่งเศสในยุคสมัยอัศวินเรืองอำนาจ มีอัศวินท่านหนึ่งไปหลงรักนางกำนัลของพระราชา ทั้งสองรักกันหวานชื่น วันหนึ่งอัศวินผู้กล้าก็พานางกำนัลเจ้าของหัวใจเขาไปเดินเล่นชมนกชมไม้ในสวน บังเอิญหล่อนเหลือบไปมองเห็นดอกไม้เล็กๆ ขึ้นอยู่ริมสระน้ำ ก็ออดอ้อนชายคนรักไปเก็บให้หน่อย
บังเอิญว่าวันนั้นอัศวินแต่งตัวพร้อมปฏิบัติงาน หรือไม่ก็อยากจะแต่งหล่อเพื่อโอ่ยศถาบรรดาศักดิ์ต่อหญิงคนรักเลยแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเกราะเหล็กมาทั้งชุด เขารับอาสาไปเก็บดอกไม้ให้หล่อน ปรากฏว่าอัศวินผู้นี้คงจะสายตาสั้นหรือจะถึงคราวซวยก็ไม่รู้ พลันลื่นไถลตกลงไปในแม่น้ำ ลองนึกสภาพดูว่าผู้ชายร่างยักษ์ในชุดเกราะเหล็กจะมีแรงตะเกียกตะกายว่ายน้ำเข้ามาในฝั่งได้อย่างไรกัน

การแกะสลักไม้


งานแกะสลักไม้สัก เป็นงานฝีมือของชาวบ้านจังหวัดสุโขทัยที่เกิดจากการเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว สิ่งนั้นคือ เศษไม้ที่โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้ทิ้งไว้ แต่ชาวบ้านนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง ด้วยการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแกะสลักเศษไม้ให้เป็นรูปแบบต่าง ๆตามต้องการ แล้วนำมาสร้างรายได้เพิ่มขึ้น งานแกะสลักไม้สักเป็นงานฝีมือของชาวบ้านในตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นงานที่ต่างจากงานแกะสลักไม้จากจังหวัดเชียงใหม่โดยมีรูปแบบไม่ซ้ำกันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างกัน รูปแบบที่นำมาแกะสลักส่วนใหญ่เป็นองค์พระพุทธรูป และตัวสัตว์ อาทิ เช่น นกคุ้ม นกยูง นกเงือก ปลาปักเป้า ปลากัด แมว เป็ด กบ ฯลฯ งานฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ หรือของดีประจำจังหวัดสุโขทัยเช่น "นกคุ้ม" เป็นนกที่มีชื่อไพเราะเรียกว่า คุ้มเงินคุ้มทอง บางคนซื้อแล้วนำไปปลุกเสก เอาตั้งไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของ ส่วนมากจะขายได้เฉพาะคนไทยที่เข้าใจความหมายของคำว่านกคุ้ม ลูกค้าบางคนที่เชื่อถือเรื่องดวงชะตาก็นิยมซื้อตัวสัตว์ที่เข้ากับวันเดือนปีเกิดของตนเอง
สำหรับลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศจากทวีปยุโรปและอเมริกา จะนิยมซื้อองค์พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่ยังคงอนุรักษ์ความงดงามอยู่เช่นเดิม ส่วนลูกค้าที่เป็นชาวเอเชียจะชื่นชอบตัวสัตว์ เช่น แมว นก และปลา โดยเฉพาะปลากัด เป็นไม้สักชิ้นเดียว แกะให้เป็นตัวโดยไม่มีการต่อเติมส่วนประกอบของปลา บางครั้งก็มีรูปแบบพิเศษที่ลูกค้ากำหนด เช่น รถตุ๊กตุ๊ก เรือพื้นบ้าน กรอบรูปลวดลายโบราณเก่าแก่สมัยสุโขทัย
ไม้สักเป็นไม้ที่เก่าแก่มีคุณค่าแก่การสะสม เมื่อนำมาแกะสลักเป็นรูปลักษณ์ที่งดงามเห็นลายไม้ชัดเจน ถ้าไม่ต้องการลงสีเพียงแต่ลงแวกซ์ให้เงางามก็เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ดึงดูดใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี

น้ำตกเอรวัณ


สัมผัสสายน้ำสีมรกตที่เอราวัณเรื่อง....สัมผัสสายน้ำสีมรกตที่เอราวัณ
น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่น่าสนใจใกล้เมืองกรุงฯ มาก แต่กลายเป็นสิ่งที่เราผ่านเลยไป ทั้งที่เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามถึง 7 ชั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นน้ำตกหินปูน มีแอ่งน้ำเป็นสีเขียว มองเห็นหมู่ปลาแหวกว่าอยู่เป็นฝูง
เนื่องจากว่าน้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก การเดินทางก็สะดวกสบาย จากตัวเมืองเมืองกาญจนบุรีไปยังอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จากจังหวัดกาญจนบุรีไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3199 ถึงเขตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเขื่อนศรีนครินทร์ ข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วจึงเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 70 กิโลเมตร

ปราสาทเขาพระวิหาร


ปราสาทเขาพระวิหาร
(5415 คนอ่าน)
เขตศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาสูง - เปิดเวลา 08.00-15.00 น. - มีร้านอาหาร ห้องสุขา และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ผามออีแดง - เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมสองครั้งที่ด่าน อช. เขาพระวิหาร (ฝั่งไทย) คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท รถยนต์สี่ล้อ 30 บาท รถยนต์หกล้อ 100 บาท และปราสาทเขาพระวิหาร (ฝั่งเขมร) คนไทย 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ปราสาทเขาพระวิหาร หรือในภาษาเขมรเรียกว่า เปรี๊ยะวิเฮียร์ ตั้งอยู่บนเขาสูงซึ่งอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา แต่ทางขึ้นชมปราสาทนั้นอยู่ในเขตไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ของ อช. เขาพระวิหาร ด้วยเหตุนี้นักท่องเที่ยวจึงต้องเสียค่าเข้าชมสองครั้ง คือ ค่าธรรมเนียมเข้าเขต อช. เขาพระวิหาร และค่าขึ้นชมปราสาทเขาพระวิหาร ไทยกับกัมพูชาเคยเกิดกรณีพิพาทเรียกร้องความเป็นเจ้าของปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ที่ตั้ง ติดเขตชายแดนประเทศไทย บริเวณผามออีแดง ต.เสาธงชัย อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ ประวัติ ปราสาทเขาพระวิหารอยู่บนยอดเขาพระวิหาร สูง657 ม. อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกายที่เชื่อว่าพระศิวะซึ่งเป็นเทพเคารพสูงสุดและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล สถิตอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ ยอดเขาพระวิหารยังถือเป็นเขตภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ และความอุดมสมบูรณ์ของสรรพสิ่งของชนพื้นเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งชุมชนอยู่รอบเขาพระวิหาร ก่อนที่จะสถาปนาให้สถานที่แห่งนี้เป็น ศรีศิขเรศวร ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งขุนเขา” เป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของพระศิวะ ตามความเชื่อของขอม สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ. 1545-1593) ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ทรงสถาปนาให้เขาพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่เรียกกันว่า กมรเตงชคตศรีศิขเรศวร เพื่อหลอมรวมคนพื้นเมืองซึ่งมีทั้งจาม ขอม ส่วย ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อเดียวกัน ปราสาทเขาพระวิหารจึงเป็นศูนย์กลางความเชื่อ เป็นศูนย์รวมแห่งพิธีกรรมการนับถือบรรพบุรุษของชนพื้นเมือง มีการอุทิศถวายที่ดิน ข้าทาส วัตถุสิ่งของแด่ปราสาทเขาพระวิหารปราสาทเขาพระวิหารจึงเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญของทั้งกษัตริย์ขอมโบราณและกลุ่มคนพื้นเมืองบริเวณเขาพระวิหารซึ่งเดิมมีชื่อว่า กุรุเกษตร สันนิษฐานว่าปัจจุบันคือพื้นที่ อ. กันทรลักษ์ อ. ขุขันธ์ จ. ศรีสะเกษ ปราสาทเขาพระวิหารหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือหันมาทางฝั่งไทย ระยะทางจากจุดเริ่มต้นเชิงเขาไปจนถึงปรางค์ประธานที่ตั้งอยู่บนยอดเขาประมาณ 850 ม. หรือเกือบ 1 กม. แบ่งออกเป็นสี่ระดับ แต่ละระดับเป็นที่ตั้งของอาคารรูปกากบาท หรือที่เรียกว่าโคปุระ ซึ่งเป็นพลับพลาหรือซุ้มประตูทางเข้าปราสาท มีสิ่งน่าสนใจตามทางเดินขึ้นปราสาทดังนี้ สิ่งน่าสนใจ @ บันไดนาคหัวลิง เหตุที่เรียกบันไดนาคหัวลิง เพราะนาคมีปากสั้น หัวเกลี้ยง ๆ แทนที่จะมีหงอน หรือเครื่องเคราอย่างนาคทั่วไป บันไดนาคหัวลิงยาวกว่า 100 ม. มีลานพักสองแห่ง ซึ่งประดับด้วยสิงห์หินทรายขนาดใหญ่ อันมีที่มาจากความเชื่อในคติขอมว่าสิงห์เป็นสัตว์มงคล ช่วยปกปักรักษาสถานที่ @ ลานนาคราช เป็นลานหินกว้าง 7 ม. ยาวเกือบ 4 ม. ที่ราวบันไดมีนาคราชเจ็ดเศียรประดับอยู่ นับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำหรือมหาสมุทรมหานทีสีทันดรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุหรือปรางค์ประธานไว้

นกเงือก


นกเงือก (HORNBILL) ทั่วโลกมี ๕๕ ชนิด มีการแพร่กระจายอยู่ในแถบเขตร้อน ของทวีปอาฟริกา และเอเซีย ประเทศไทยมีนกเงือก ๑๓ ชนิด ซึ่งในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตส่วนหนึ่งอยู่ใน จังหวัดนครราชสีมา มี ๔ ชนิด ได้แก่ นกกก หรือ นกกะวะหรือ นกกาฮัง นกเงือกสีน้ำตาล นกเงือก กรามช้าง หรือนกกู่กี๋ และนกแก๊ก หรือนกแกง
นกเงือกเป็นนกขนาดใหญ่ อาจมีความยาว ๑.๕ เมตร เมื่อวัดจากปากถึงปลายหาง ส่วนมากมักจะมีขนสีดำสลับขาว มีลักษณะการทำรังโดยตัวเมียปิดขังตัวเองอยู่ภายในโพรงไม้ นกเงือกมีนิสัยในการทำรังผิดแปลกไปจากนกอื่นใดในโลก คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา
นกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว จะมีการเกี้ยวพาราสี เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง จะทำความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้ ตัวเมียจะผสมวัสดุเหล่านี้กับมูลของมันเอง เมื่อปิดปากโพรงจึงเหลือเพียงช่องแคบ ๆ ตัวเมียจะขัง ตัวอยู่ภายในเพื่อออกไข่เลี้ยงลูก ตัวผู้จะทำหน้าที่ดูแลตัวเมียและลูกโดยส่งอาหารผ่านทางปากโพรง นกเงือกจะมีส่วนหนังเปลือยเป็น สีฉูดฉาดอยู่บ้าง เช่น บริเวณคอ ขอบตา มีขนตายาว ขาสั้น ชอบกระโดด ลิ้นสั้น จึงกินอาหารโดยจัดอาหารให้อยู่ที่ปลายปากแล้วโยน กลับลงคอไป อาหารของนกเงือกมีทั้งพืชและสัตว์ เช่น ผลไทร สุรามะริด ผลตาเสือ เป็นต้น สัตว์ ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง เป็นต้น
เนื่องจากนกเงือกอาศัยทำรังในโพรงไม้ใหญ่ และกินอาหารที่ได้จากผลผลิตในป่า นกเงือกจึงเป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ ของป่า หรือสัญลักษณ์ของป่าดงดิบเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งในระบบนิเวศ
ปัจจุบันการศึกษาวิจัยธรรมชาติมีน้อยมาก การที่มีข้อมูลเรื่อง นกเงือกเป็นอย่างดีทั้งนี้เนื่องจากการ ศึกษาวิจัยอย่างจริงจังของ โครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
นกเงือก (HORNBILL) ทั่วโลกมี ๕๔ ชนิด มีการแพร่กระจายอยู่ ในแถบเขตร้อนของทวีปเอเซีย ประเทศไทยมีนกเงือก ๑๓ ชนิด ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มี ๔ ชนิด ได้แก่ นกกกหรือ นกกะวะหรือนกกาฮัง นกเงือกสีน้ำตาล นกเงือกกรามช้าง หรือ นกกู๋กี๋ และนกแก๊ก หรือนกแกง
นกเงือกเป็นนกขนาดใหญ่ อาจมีความยาว ๑.๕ เมตร เมื่อวัดจากปลาย ปากถึงปลายหาง ส่วนมากมักจะมีขนสีดำสลับขาวมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว คือ ปากขนาดใหญ่ ยาวโค้ง มีโหนกอยู่บนส่วนปาก จัดเป็นสัตว์ที่ยังคง ความเป็นอยู่แบบโรราณตามลักษณะการทำรังโดยตัวเมียปิดขังตัวเองอยู่ ภายในโพรงไม้ นกเงือกมีนิสัยในการทำรังผิดแปลกไปจากนกอื่นใดในโลก คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตาม ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา

การเกิดสุริยุปราคา


สุริยุปราคา เป็นปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติ ที่ดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง ทำให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ และเงาของดวงจันทร์จึงตกมาบน บริเวณ ต่างๆ บนโลกสุริยุปราคาคืออะไรสุริยุปราคาหรือเรียกอีกอย่างว่า สุริยะคราส หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก แล้วโคจรมาบังดวงอาทิตย์ จึงทำให้โลกไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ช่วงขณะหนึ่ง โดยเงาของดวงจันทร์จึงตกมาบนโลก ทำให้บริเวณพื้นผิวโลกที่อยู่ใต้เงามืดของดวงจันทร์ เห็นดวงอาทิตย์มืดมิด เราเรียกว่า “สุริยุปราคาเต็มดวง” และบริเวณพื้นโลกที่อยู่ใต้เงามัวของดวงจันทร์ก็จะเห็นดวงอาทิตย์มืดเป็นดวงกลมโดยมีขอบสว่างล้อมรอบคล้ายวงแหวน เราเรียกว่า “วงแหวนสุริยุปาคา” ส่วนบางบริเวณก็เห็นดวงอาทิตย์มืดบางส่วนและสว่างบางส่วน เราเรียกว่า “สุริยุปราคาบางส่วน” สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะส่วนใหญ่ดวงจันทร์มักจะโคจรในระดับที่สูงหรือต่ำกว่าแนวระดับเดียวกัน ( แนวเส้นตรงเดียวกัน ) กับโลกและดวงอาทิตย์ ดังนั้นสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นได้เมื่อดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ( ตรงกับแรม 14 – 15 ค่ำ )ผลกระทบ การเกิดสุริยุปราคามีผลกระทบก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เนื่องจากการที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลดแสงลงเนื่องจากดวงจันทร์บังแสงดวงอาทิตย์ ทำให้สัตว์ต่างๆพากันกลับรังเพราะนึกว่าถึงเวลากลางคืนเห็นได้ชัดก็คือ นกชนิดต่างๆ จะบินกลับรัง ส่วนคนก็พากันตื่นเต้นและเตรียมการเฝ้าดูในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีโอกาสเห็น และได้ศึกษาการเกิดสุริยุปราคา และเกิดบริเวณใดของโลกวิธีดู เมื่อเกิดสุริยุปราคาไม่ควรดูด้วยตาเปล่า เพราะอาจทำให้ตาบอดหรือเป็นโรคตาได้ ควรใช้อุปกรณ์เป็นแผ่นฟิล์มถ่ายรูปขาวดำที่ใช้แล้ว นำมาซ้อนกัน 2 –3 แผ่น แล้วดูผ่านฟิล์มถ่ายรูป หรือใช้การมองผ่านกระจกที่รมควันให้แสงผ่านได้น้อยที่สุด

วิธีการดูแลผิวสวยให้คงความสาวและหนุ่มตลอดวัย
1. หยุดผมร่วง
*รับประทานกล้วย
ผลไม้มหัศจรรย์ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งมีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี
เป็นสารอาหารสำหรับเส้นผมที่ดีมาก การรับประทานกล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ
จึงช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน
ถ้ากล้วยผลใหญ่เกินกว่าจะรับประทานได้สะดวกก็หั่นให้ชิ้นเล็กลงหน่อยหรืออีกวิธี คือ
ผสมกล้วยกับแชมพูที่ทำจาก น้ำผึ้ง แล้วนำมาสระผม
ก็จะช่วยเน้นประสิทธิภาพในการป้องกันผมร่วงและช่วยให้ผมนุ่มสลวยขึ้นด้วย
2. ถ้ามีผิวมันมากเกินไป
*ต้องรับประทานธัญญาหารทุกเช้า
เพราะการรับประทานธัญญาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 2 ทุกวัน
จะเป็นตัวช่วยในการหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมผลิตภายในร่างกาย
ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน แต่ถ้าไม่สะดวกในการรับประทานธัญญาหารเปล่าๆ
ก็ลองผสมกับนมเย็นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติขึ้นก็ได้
3. หยุดการลอกของผิวหนัง
*ใช้น้ำมันจาก Primrose ที่มีดอกสีเหลือง
ลองรับประทานวันละ 2 แคปซูล ทุกเย็น จะช่วยให้ได้ผลดีอย่างยิ่ง
ผิวหนังและหนังศีรษะจะดีขึ้น แต่ถ้าการรับประทานอาหารเสริมแคปซูลทำให้เกิดอาการติดคอ
ก็เปลี่ยนมา รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน
อาหารทะเลหรือสลัดผักสดก็ได้ สิ่งเหล่านี้จะให้สรรพคุณทัดเทียมกับน้ำมัน Primrose ทีเดียว
4. เพื่อผิวเนียนเหมือนเด็ก
*รับประทานมะม่วง
เพราะมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีวิตามินในเบต้าแคโรทีน
จะช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนังทั่วไป รวมทั้งหนังศีรษะให้ทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ
ให้กลับมามีความชุ่มชื้นและนุ่มเนียนอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ชอบมะม่วงก็อาจเปลี่ยนเป็น
มันฝรั่ง แครอท แอปริคอด แต่ควรรับประทานร่วมกับไข่และตับ จะได้ผลดียิ่งขึ้น
5. หยุดการเปลี่ยนสีผม
* รับประทาน ถั่วลิสงอบเนย ร่วมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อนๆ ก่อนมื้ออาหาร
สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงของสีผม
เนื่องจากอาหารดังกล่าวอุดมด้วยวิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้
และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย หากไม่ชอบถั่วลิสงก็ลองรับประทานมันฝรั่งอบร้อนและชุ่มด้วยเนยแทน
แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่หยุดยั้งการเปลี่ยนสีผมได้แน่นอน
เอาเป็นว่าทำให้ผมของเราไม่เปลี่ยนสีรวดเร็วเกินไปก็เพียงพอแล้ว
6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี
*รับประทาน ฝรั่ง หรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี
วิตามินซีสามารถช่วยเก็บรักษาคอลลาเจน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง
หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้ประจำวัน
ก็จะช่วยเพิ่ม วิตามินซีเช่นกัน
7. บำรุงผิวด้วยบลูเบอร์รี่
*อาวุธลับแห่งเครื่องสำอางหลายชนิดถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผิวสีน้ำเงินเข้ม
และความเขียวอมม่วงสดของบูลเบอร์รี่
นี่แหละ สรรพคุณของบูลเบอร์รี่ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความแข็งแรง
โดยการช่วยดูแลผิวหนังให้เรียบและแข็งแรง
นอกจากนี้ยังหยุดอาการเส้นเลือดเปราะบางและแตกง่ายอีกด้วย
8. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ
*รับประทาน อะโวคาโด
วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ
ทั้งนี้รวมไปจนถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศแห่งมลภาวะที่เป็นพิษอีกด้วย
หากรับประทานอะโวคาโดอย่างเดียวแล้วรู้สึกไม่คล่องคอ
ขอแนะนำให้ลองรับประทานเมล็ดทานตะวันเคลือบน้ำผึ้งและเมล็ดงาคั่วควบคู่ไปด้วยก็ได้

แหลมสมิหลา




แหล่งท่องเที่ยว:
แหลมสมิหลา อยู่ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตลาดสดเทศบาลประมาณ 3 กิโลเมตร มีหาดทรายขาวสะอาด และทิวสนอันร่มรื่น มีร้านขายอาหารอยู่มากการเดินทางจากหาดใหญ่ ใช้รถประจำทางสายหาดใหญ่-สงขลา แต่หากอยู่ในตัวเมืองสงขลาก็มีรถสองแถวบริการจากตัวเมืองไปยังชายหาดในราคาไม่แพงนักครับ

โลกร้อน


โลกร้อนเกิดจากอะไร
มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่งและ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาล ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของภาวะโลกร้อน ก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลก สูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อยๆ ละลายลงเรื่อยๆ และอาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต

ปลาหางนกยูง


การเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงสถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำกรมประมง
ปลาหางนกยูงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Poecilia reticulata Peters 1859 มีชื่อสามัญว่า Guppy อยู่ในครอบครัว Poecidae เป็นปลาอออกลูกเป็นตัว และมีถิ่นกำเนิดทางทวีปอเมริกาใต้แถบเวเนซูเอลล่า หมู่เกาะคาริเบียนของประเทศบาร์บาโดสและในแถบลุ่มน้ำอเมซอน ในธรรมชาติอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งจนถึงน้ำไหลเรื่อยๆ ปลาตัวผู้มีขนาด 3 -5 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาด 5 -7 เซนติเมตร ปลาหางนกยูงที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม(Fancy guppies) ซึ่งเป็นปลาที่ได้รับการคัดพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์มาจากพันธุ์พื้นเมือง ( Wild guppies) ที่พบแพร่กระจายอยู่ในธรรมชาติ ลักษณะเด่นที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ๆ คือ ลักษณะสีและลวดลายบนลำตัวและลวดลายบนครีบหางและรูปแบบของครีบหาง ซึ่งในการเรียกสายพันธุ์ต่างๆ จะถูกตั้งชื่อตามลักษณะ ดังกล่าว
ลักษณะที่ดีของปลาหางนกยูง
ลักษณะลำตัว -> มีขนาดใหญ่ หนาสมส่วน ไม่คดงอลักษณะครีบ -> ครีบหางใหญ่ พริ้วหนา แข็งแรงสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด ขณะว่ายน้ำพริ้วไม่พับสีและลวดลาย -> ถูกต้องตามสายพันธุ์ คมเข้มชัดเจน ความสมบูรณ์ของลำตัว -> ทรงตัวปกติ
การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง
ในการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง นอกเหนือจากวิธีการเพาะพันธุ์แล้ว วิธีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และการอนุบาลลูกปลานับว่าเป็นปัจจัยที่ล้วนแต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งได้กล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวต่อไปนี้ คือ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูง เนื่องจากปลาหางนกยูงจะเจริญถึงวัยเจริญพันธุ์ เมื่อปลามีอายุเพียง 3 เดือนเท่านั้น เมื่อลูกปลาพอที่จะแยกเพศได้ (อายุประมาณ1- 1 1/2 เดือน ) ควรเลี้ยงแยกเพศไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาผสมพันธุ์กันเอง
น้ำที่ใช้เลี้ยง ควรเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน มีความเป็นกรด – ด่าง (pH ) 6.5 – 7.5 มีปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำไม่ต่ำกว่า 5 มก.ต่อลิตร ความกระด้างของน้ำ 75- 100 มก.ต่อลิตร ความเป็นด่าง 100 – 200 มก.ต่อลิตร และอุณหภูมิน้ำ 25 –29 ? C ควรมีน้ำไหลหมุนเวียนตลอดเวลา
อาหารที่ใช้เลี้ยง ปลาหางนกยูงสามารถกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ (Omnivorous) ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จึงสามารถให้อาหารจำพวกสัตว์น้ำขนาดเล็กเช่น ลูกน้ำ ไรแดง (Moina) ไรสีน้ำตาล (Artemaia) หรือหนอนแดง(Chironomus) หรืออาจจะเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป ที่มีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่า 40%อาหารสดก่อนให้ทุกครั้งควรฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับอาหาร โดยควรแช่อาหารในด่างทับทิมเข้มข้น 500 - 1,000 ส่วนในล้านส่วน (0.5 - 1.0 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ) เป็นเวลาประมาณ 10 –20 วินาที ปริมาณอาหารสด ควรให้ 10% ของน้ำหนักตัวหรือให้กินแต่พออิ่ม ส่วนอาหารแห้ง ควรให้วันละ 2 - 4 % ของน้ำหนักตัวปลาโดยให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น ส่วนการถ่ายเทน้ำควรจะทำทุกวัน โดยดูดน้ำในตู้ออกวันละประมาณ ? ของปริมาณน้ำในตู้ แล้วเติมน้ำให้เท่าระดับเท่าเดิมการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การคัดเลือกปลาเพศผู้และเพศเมียเพื่อทำการผสม ควรเลือกปลาที่มีอายุ 3 เดือนขึ้นไป มีลักษณะลำตัวมีขนาดใหญ่ หนาสมส่วน ไม่คดงอ โคนหางใหญ่ แข็งแรงครีบสมบูรณ์ ครีบหางใหญ่ พริ้วหนา แข็งแรงสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด รูปร่างได้สัดส่วน แข็งแรง ว่ายน้ำปราดเปรียว มีสีและลวดลายสวยงาม เพศผู้จะมีลักษณะต่างจากเพศเมียตรงที่อวัยวะในการสืบพันธุ์เรียกว่า gonopodium ซึ่งดัดแปลงมาจากครีบก้น ปลาเพศผู้และเพศเมีย ควรมีลักษณะสีและลวดลายที่เหมือนกันหรือคล้ายกันมากที่สุด เพื่อให้ได้ลูกปลาที่ลักษณะไม่แปรปรวนมากในการผสมพันธุ์ หากจำเป็นต้องเก็บลูกปลาที่เพาะไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในครั้งต่อไป ควรหาพ่อแม่ปลาจากแหล่งอื่นมาผสมบ้าง เพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด (Inbreeding) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ลูกปลารุ่นต่อๆ ไป มีความอ่อนแอและมีอัตราการรอดต่ำ
การเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงขั้นตอนที่ 1 เตรียมบ่อซีเมนต์ขนาด 1 - 4 ตรม. ระดับน้ำลึก 30 –50 ซม. ใส่พุ่มเชือกฟางตะกร้าหรือฝาชี เพื่อให้ลูกปลาใช้เป็นที่ปลาหลบซ่อนขั้นตอนที่ 2 คัดพ่อแม่ปลาสายพันธุ์เดียวกันที่ลักษณะดีสีสวยอายุประมาณ 4 –6 เดือน โดยคัดปลาเพศผู้ ลำตัวโต แข็งแรง ครีบหลัง ครีบหางใหญ่และแผ่กว้างสีเข้มสดใส สวยงาม ส่วนปลาเพศเมียคัดเลือกสายพันธุ์เดียวกันกับปลาเพศผู้ ลำตัวโต แข็งแรง ปราดเปรียว ครีบหางเข้มสดใส ปล่อยรวมกันในอัตรา 120 -180 ตัว/ลบ.ม. ในสัดส่วนเพศผู้ : เพศเมีย เท่ากับ 1:3 หรือ 1:4 ระหว่างการเพาะพันธุ์ให้ไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้า และให้อาหารสำเร็จรูปในตอนเย็น ปลาเพศเมียที่ได้รับการผสมแล้ว จะเห็นเป็นจุดสีดำบริเวณท้องขั้นตอนที่ 3 หลังจากแม่ปลาได้รับการผสมพันธุ์ประมาณ 26 –28 วัน จะมีลูกปลาวัยอ่อนเกิดขึ้นและหลบซ่อนอยู่ตามวัสดุที่มาใส่ไว้ในบ่อให้รวบรวมลูกปลาออกทุกวันสะสมไว้ในบ่ออนุบาล ประมาณ 4-5 วัน/ บ่อ เพื่อให้ลูกปลามีขนาดใกล้เคียงกัน โดยปล่อยลูกปลาในอัตราความหนาแน่น 140-300 ตัว/ลบ.ม. ในระยะแรกให้ไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้าและเย็นทุกวันเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงให้อาหารสำเร็จรูป จนกระทั่งลูกปลามีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่เริ่มแยกเพศได้ โดยปลาเพศเมีย สังเกตจุดสีดำบริเวณรูเปิดช่องท้อง ส่วนปลาเพศผู้ เมื่อมองจากด้านบนมีรูปร่างเรียวยาวกว่าเพศเมียขั้นตอนที่ 4 คัดขนาดและแยกเพศปลา นำไปแยกเลี้ยงในบ่ออัตรา 200-300 ตัว/ลบ.ม.ให้กินไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้าส่วนตอนกลางวันและตอนเย็นให้กินอาหารสำเร็จรูป เลี้ยงเป็นระยะเวลา 3 เดือน (ปลามีอายุประมาณ 4 เดือน)ขั้นตอนที่ 5 ปลาหางนกยูงอายุประมาณ 4 เดือน จะถูกคัดขนาดและคัดเลือกปลาที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อนำไปเลี้ยงไว้ในบ่อพักปลาเพื่อเตรียม


วิธีการเล่นผู้เล่นตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้เล่นก่อนหลัง โดยผู้เล่นมีลูกเกยคนละลูก หลังจากนั้นก็ขีดตารางเป็นช่องสี่เหลี่ยมจำนวน ๖ ช่อง หรือเรียกว่า ๖ เมือง โดยแบ่งเป็นซีกซ้าย ๓ เมือง ซีกขวา ๓ เมืองการเริ่มเล่น ผู้เล่นคนที่ ๑ เริ่มเล่นโดยการทอยลูกเกยลงไปในเขตเมืองที่ ๑ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ หลังจากนั้นใช้ปลายเท้าฉุดลูกเกยให้ผ่านไปในเขตเมืองที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ตามลำดับแล้วก็ฉุดลูกเกยออกจากเขตเมืองที่ ๖ ต่อไปผู้เล่นคนเดิม ต้องทอยลูกเกยลงในเมืองที่ ๒ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ กระโดดต่อไปในเมืองที่ ๒ หลังจากนั้นก็เล่นเหมือนเดิมไปเรื่อยๆทุกเมือง จนถึงเมืองที่ ๖ เมื่อทอยลูกเกยและฉุดได้ครบทั้ง ๖ เมืองแล้วให้ผู้เล่นกระโดดด้วยเท้าข้างเดียวจังหวะเดียวลงบนเมืองที่ ๑ ถึง เมืองที่ ๖ ตามลำดับ ห้ามกระโดดหลายครั้งมิฉะนั้นถือว่า ตาย ต้องให้คนอื่นๆเล่นต่อ ถ้าเล่นครบท่านี้แล้วไม่ตาย ให้เล่นในท่าต่อไป คือ เอาลูกเกยวางบนหลังเท้าแล้วสาวเท้าลงในเมืองทั้ง ๖ เมือง ตามลำดับ แต่เท้าหนึ่งลงในเมืองหนึ่งได้เพียงครั้งเดียว เช่น เท้าซ้ายเหยียบลงในเมืองที่ ๑ เท้าขวาเหยียบลงในเมืองที่ ๒ เท้าซ้ายเหยียบลงในเมืองที่ ๓ สลับกันไปเช่นนี้จนกว่าจะครบทุกเมือง ลูกเกยนั้นต้องไม่ตกจากหลังเท้าและเท้านั้นต้องไม่เหยียบเส้น ท่าต่อไปนั้นให้ผู้เล่นปิดตา เดินที่ละก้าวโดยไม่ต้องวางลูกเกยบนหลังเท้าขณะเดินขณะที่ก้าวเท้าลงในแต่ละเมืองผู้เล่นนั้นต้องถามว่า "อู่ บอ" หมายความว่า เหยียบเส้นหรือไม่ ถ้าไม่เหยียบผู้เล่นคนอื่นๆจะตอบว่า "บอ" ถ้าเหยียบเส้นตอบว่า "อู่" เมื่อผู้เล่นที่ปิดตาเหยียบเส้นถือว่า ตาย ต้องเปลี่ยนให้คนอื่นๆเล่นต่อไป ถ้าเล่นยังไม่ตายผู้เล่นนั้นมีสิทธิ์ในการจองเมือง โดยผู้เล่นนั้นต้องเดินเฉียงไปแบบสลับฟันปลาไปตามช่องต่างๆ ให้ลงเท้าได้เพียงเท้าเดียว เช่น ลงเท้าซ้ายในเมืองที่ ๑ ลงเท้าขวาในเมือ งที่ ๓ และลงเท้าซ้ายในเมืองที่ ๕ แล้วกระโดดสองเท้าลงในหัวกระโหลก กระโดดเท้าพร้อมกับหันหลัง และผู้เล่นก็โยนลูกเกยข้ามศีรษะของตนเองถ้าลูกเกยไปตกอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่ง เมืองนั้นจะเป็นของผู้เล่นทันที ดังนั้นผู้เล่นมีสิทธิ์ยืนสองเท้าในเมืองนั้นได้ เมื่อได้เมืองแล้วก็ให้เล่นอย่างนั้นต่อไป จนกว่าจะตายจึงจะต้องเปลี่ยนให้ผู้อื่นเล่นต่อโอกาสหรือเวลาที่เล่นในการเล่นอีฉุดนั้นไม่มีการกำหนดโอกาสและเวลาที่เล่น เพราะสามารถเล่นได้ในทุกโอกาสและการเล่นอีฉุดนั้นเป็นการเล่นของเด็กที่นิยมกันมากในท้องถิ่นจังหวัดกระบี่คุณค่าและแนวคิดในการเล่นอีฉุดนั้นก่อให้เกิดความสามัคคี ความรักความผูกพันธ์กันในหมู่คณะและเป็นการฝึกความสัมพันธ์ของร่างกายในส่วนต่างๆ ทั้ง มือ เท้า และสมอง ได้เป็นอย่างดี